|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
ความผิดปกติของการเจริญเติบโต และเนื้องอก (Disorders of growth andNeoplasia) ความผิดปกตินี้สามารถแบ่งออกเป็น 2. ความผิดปกติของ differentiation คำศัพท์ที่ควรทราบเกี่ยวกับเรื่องมะเร็ง ข้อเปรียบเทียบลักษณะของเนื้องอกธรรมดา และเนื้องอกมะเร็ง ลักษณะที่แตกต่างระหว่างเนื้องอกธรรมดา และมะเร็ง - 1. ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่ และการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเนื้อเยื่อ - 2. อัตราเร็วของการเจริญเติบโต (rate of growth) - 3. การเจริญอยู่เฉพาะที่และบุกรุกไปที่อื่นๆ (Local growth and invasion) - 4. การกระจายไปอวัยวะ หรือเนื้อเยื่อบริเวณอื่น (Metastasis) กลไกที่เซลล์มะเร็ง สามารถแพร่กระจายได้ ปัจจัยการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ลักษณะผิดปกติที่สำคัญของเนื้องอก
เซลล์ของร่างกาย มีคุณสมบัติในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ เพื่อให้เกิดอันตรายต่อเซลล์ การปรับตัวของเซลล์นี้จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งลักษณะ และหน้าที่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของเซลล์สามารถเกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ คือ การเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียส และการแปลงในไซโตพลาสม โดยนิวเคลียสจะเริ่มมีการจับกลุ่มกันของโครมาติน รอบ ๆ นิวเคลียส และในส่วนของ ไซโตพลาสมจะมีการเปลี่ยนแปลงได้หลากหลายรูปแบบ แล้วแต่สาเหตุที่มากระทบต่อเซลล์ เช่น มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อการทำหน้าที่เพิ่มขึ้น มักพบในกรณีที่ร่างกายได้รับสารพิษ หรือมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อการทำหน้าที่ลดลง จะพบในกรณีที่เซลล์ได้รับอันตราย หรือมีการเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่ใหม่ หรือมีการสะสมสารบางอย่างในไซโตพลาสม เป็นต้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ บางอย่างถือว่าเป็น adaptive response แต่บางอย่างถือเป็น degenerative response ปัจจัยที่ควบคุมการเจริญเติบโต (growth and differentition) หากเกิดความผิดปกติ จะก่อให้เกิดโรคได้ โดย ความผิดปกตินี้สามารถแบ่งออกเป็น 1. ความผิดปกติของ growth - excess growth เช่น hypertrophy และ hyperplasia - diminshed growth เช่น agenesis hypoplasia aplasis และ atrophy 2. ความผิดปกติของ differentition- metaplasia และ dysplasia 3. เนื้องอก (neoplasia) Hypertrophy คือ การเพิ่มขนาดของเซลล์ และเป็นผลทำให้อวัยวะใหญ่ขึ้น การเพิ่มขนาดโดยเซลล์ไม่เพิ่มขึ้น การเพิ่มขนาดของเซลล์เป็นผลจากการสร้างส่วนประกอบของเซลล์มากขึ้น โดยพบกล้ามเนื้อหัวใจ หรือกล้ามเนื้อลาย (skeletal muscle) สามารถเกิดการเพิ่มขนาดชองเซลล์ได้ดีมาก เนื่องจากเซลล์เหล่านี้สามารถตอบสนองต่อการทำงานเพิ่มขึ้น โดยไม่มีการแบ่งตัว Hyperplasia คือการเพิ่มจำนวนของเซลล์ให้มากขึ้น มีผลทำให้อวัยวะใหญ่ขึ้นเช่นกัน และมีหลายกรณีที่พบว่า hyperplasia มักจะเกิดร่วมกับ hypertrophy เช่นหัวใจ เมื่อมีขนาดโตขึ้น หรือไต เวลาที่ทำงานเพิ่มขึ้นก็สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้ง 2 แบบได้ สาเหตุการเกิดการเพิ่มขนาด และการเพิ่มจำนวนของเซลล์ มีหลากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่สำคัญ คือการทำงานเพิ่มขึ้น และภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมน ดังนั้นจึงแบ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนของเซลล์ 3 กลุ่มหลัก ๆ คือ 1. การเพิ่มจำนวนด้านสรีรวิทยา (Physiological hypertrophy) เช่น ในระยะให้นม หรือในระยะการตั้งท้อง เป็นต้น 2.
การเพิ่มจำนวนด้านการปรับสภาพตามการทำงาน
(Adaptive hypertrophy)
เช่นการปรับตัวในกรณีอุดตันของหลอดเลือด เพื่อนำเลือดไปร่างกายให้ได้
เป็นต้น
3.
การเพิ่มจำนวนเพื่อชดเชย
(Compensatory hypertrophy)
มักพบในกรณีที่อวัยวะที่มีเป็นคู่
แต่มีการอวัยวะนั้นข้างใดข้างหนึ่งเสียหายทำงานไม่ได้
อวัยวะข้างที่ยังคงดีอยู่ทำงานเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยให้
เช่น การที่มีไตข้างเดียว
เป็นต้น
1.2 Diminshed growth
คือภาวะที่มีการเจริญเติบโตน้อย
หรือไม่มีการเจริญเติบโต
ปกติมักจะพบว่าจะเกิดขึ้นในช่วงที่มีการวิวัฒนาการ
(gevelopment)
หรืออาจเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีการเจริญเต็มที่แล้วก็ได้
ถ้าหากเกิดความล้มเหลวในขณะที่มีการเจริญเติบโต
หรือวิวัฒนาการของอวัยวะนั้น
ๆ จะทำให้อวัยวะนั้น ขาดหาย
หรือไม่มีของอวัยวะ
ภาวะนี้เรียกว่า Agenesis
แต่ถ้าหากความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่มาก
ร่างกายยังสามารถคงอวัยวะนั้นครบทุกแต่ขนาดเล็กกว่าปกติ
เรียกว่า hypoplasia ส่วนคำว่า aplasis
มักใช้อธิบายภาวะที่เกิด
hypoplasia ที่ค่อยข้างรุนแรง
แต่ไม่ถึงระดับ agenesis Agenesis หมายถึง ลักษณะภาวะผิดปกติ ที่ไม่มีอวัยวะตามปกติ หรือขาดหาย Aplasia หมายถึงลักษณะภาวะผิดปกติของการสร้างของอวัยวะที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจจะพบร่องรอยของอวัยวะนั้น Hypoplasia หมายถึงลักษณะภาวะผิดปกติของการสร้าง หรือเจริญอวัยวะที่มีจำนวนน้อยกว่าปกติ ซึ่งสามารถพบได้ทั้งที่เกิดมาตั้งแต่กำเนิด และเกิดขึ้นภายหลัง มักใช้อธิบายลักษณะการสร้างหรือเจริญของอวัยะทั้งหมดมีขนาดไม่เจริญเติบโตถึงขนาดปกติ
Atrophy จะเป็นคำที่มีความหมายตรงข้ามกับคำว่า การเพิ่มขนาด และการเพิ่มจำนวนของเซลล ์(hyperplasia และ hypertrohpy) atrophy เกิดขึ้นหลังจากที่อวัยวะนั้น ๆ เคยเจริญตามปกติแล้ว มีการฝ่อเล็กลง ซึ่งจะทำให้อวัยวะนั้นจะมีขนาดเล็กลง หรือบางเซลล์ตายไปก็ได้ สาเหตุของการทำให้เกิดการฝ่อลีบของอวัยวะ (atrophy) 1. การทำงานน้อย หรือไม่ได้ใช้งาน เช่นในกรณีกระดูกหัก ทำให้กล้ามเนื้อบางนั้นไม่ได้ทำงาน จนฝ่อลีบลง 2. การเสื่อมสภาพตามอายุขัย 3. ขาดสารอาหาร หรือขาดเลือดมาหล่อเลี้ยง 4. มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท หรือเส้นประสาท 5. การขาดฮอร์โมนกระตุ้น 6. การมีสิ่งกดทับ ทำให้เกิดการฝ่อลีบ 2. ความผิดปกติของ differentiation เมื่อเซลล์ได้รับการกระตุ้นที่ผิดปกติ เซลล์จะมีการเปลี่ยนแปลงไปทั้งโครงสร้าง และหน้าที่การเปลี่ยนแปลงที่สามารถเห็นได้ทางจุลพยาธิวิทยา Metaplasia คือการเปลี่ยนเนื้อเยื่อที่เจริญแล้ว จาก differentiated cell ชนิดหนึ่งเปลี่ยนเป็น differentiated cell อีกชนิดหนึ่ง การเกิด metaplasia ที่เกิดในเนื้อเยื่อ mesenchyma ได้ อาทิเช่น เนื้อเยื่อไขมัน(fat) หรือ เซลล์ fibroblasts อาจเปลี่ยนทำให้เกิดกระดูกแข็ง (osteoblasts) หรือกระดูกอ่อน (chondroblasts) หรือกรณีที่ร่างกายมีความจำเป็นต้องการเลือดมาก ม้ามอาจเกิด metaplasia ของเซลล์เดิมไปสร้างเม็ดเลือด ในกรณีเช่นนี้เรียกว่า myeloid metaplasia การเกิด metaplasia ที่เกิดในเนื้อเยื่อ epithelial เช่น จากเซลล์ columnar epithelium เปลี่ยนกลายเป็น squamous epithelium ที่เรียกว่า squamous cell metaplasia มักพบในกรณีการขาดวิตามิน เอ ทำให้เซลล์บุผิวของท่อปัสสาวะ หรือเซลล์บุผิวของหลอดลมที่ถูกระคายเคืองก็ทำให้เกิด metaplasia ก็ได้ Dysplasia คือการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่เจริญแล้ว โดยมีขนาด รูปร่าง และการเรียงตัวเปลี่ยนไป เนื่องจากระคายเคืองอย่างเรือรัง และมีการอักเสบเกิดร่วมด้วย หรือเกิดภาวะขาดสารอาหาร เช่น การขาดสารแคลเซี่ยมเป็นผลทำให้เนื้อเยื่อกระดูก มีการจัดเรียงตัวของเซลล์กระดูกผิดปกติไปในภาวะกระดูกอ่อน (rickets) dysplasia ไม่ใช่การปรับตัวของเซลล์ หากแต่เป็นการเปลี่ยนที่ผิดปกติ บางครั้งเรียกว่า atypical metaplasia และ dysplasia เหล่านี้เป็นความผิดปกติที่หายกลับเป็นปกติได้ หากสามารถกำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้นออกไปได้ ในการเจริญผิดปกติแบบ dysplasia อาจลุกลามจนควบคุมไม่ได้ จนกลายเป็นเซลล์เนื้องอกหรือมะเร็งได้ ดังนั้นความผิดปกติของการเจริญเติบโต (disorders of growth) ที่กล่าวนี้ เป็นการกล่าวถึงความแตกต่าง และความผิดปกติของเซลล์ในด้านการเจริญเติบโต (growth และ differentiation) โดยเฉพาะที่พบบ่อย ๆ และเป็นภาวะที่ร่างกายยังแก้ไขให้กลับคืนสู่สภาพปกติ ถ้ากำจัดสิ่งกระตุ้น เนื้องอกเป็นภาวะที่มีการเจริญขึ้นมาใหม่อย่างผิดปกติ โดยไม่มีความสัมพันธ์กับเนื้อเยื่อปกติอื่น ๆ และการเจริญจะคงอยู่เรื่อยไป แม้จะกำจัดสิ่งที่มากระตุ้นแล้ว เซลล์ยังสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ โรคเนื้องอก (neoplasia) เป็นโรคหนึ่งที่ปัจจุบันพบจำนวนมาก และก่อให้คนและสัตว์เสียชีวิตปีละจำนวนมาก ซึ่งมีการเรียกชื่อแตกต่างกัน ทั้งเนื้องอก มะเร็ง หรือเรียกตามศัพท์ภาษาอังกฤษว่า benign malignant หรือ tumor cancer หรือ neoplasm ในปี ค.ศ. 1952 Willis ได้ให้ความหมายของคำเนื้องอก (neoplasm) ว่าหมายถึง เนื้องอกที่มีการเจริญขึ้นมาใหม่อย่างผิดปกติ โดยไม่มีความสัมพันธ์กับเนื้อเยื่อปกติอื่น ๆ และการเจริญจะคงอยู่เรื่อยไป
คำศัพท์ที่ควรทราบเกี่ยวกับเรื่องมะเร็ง Neoplasia หมายถึง การเจริญขึ้นมาใหม่ (new growth) หรือ เนื้องอก Neoplasm หมายถึง กลุ่มหรือ เนื้องอกที่เจริญขึ้นมาใหม Tumor หมายถึง การบวม หรือเนื้อเยื่อมีลักษณะเกิดเป็นก้อน ๆ แต่ปัจจุบันนิยมใช้แทน ความหมาย neoplasm ด้วย Oncology หมายถึง วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับเนื้องอก Cancer หมายถึง มะเร็ง สามารถเจริญเติบโตแพร่กระจาย หรือลุกลามไปเนื้อเยื่ออื่น ๆ ได้ Benign หมายถึง สิ่งที่มีการงอก หรือโตอย่างช้าๆ ไม่เป็นอันตราย หรือไม่สามารถแพร่ กระจายได้(metastasis) Malignant หมายถึง สิ่งที่มีการงอก หรือโตอย่างรวดเร็ว เป็นอันตราย หรือสามารถแพร่ กระจายได้(metastasis) ไปเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะอื่น ๆ ได้ โรคเนื้องอก จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มที่ 1 Benign neoplasm คือเนื้องอกที่ไม่ร้ายแรง หรือเนื้องอกธรรมดา ซึ่งมีการเจริญเติบโต หรือ งอกอย่างช้า ๆ ไม่เป็นอันตราย หรือไม่สามารถแพร่กระจายได้(metastasis) กลุ่มที่ 2 Malignant neoplasm หรือ Cancer คือเนื้องอกที่ร้ายแรง หรือมะเร็ง ซึ่งมีการเจริญเติบโต หรือ งอกอย่างรวดเร็ว เป็นอันตราย หรือสามารถแพร่กระจายได้(metastasis) ไปเนื้อเยื่อ หรืออวัยวะอื่น ๆ ได้ และสามารถทำให้คน หรือสัตว์ตายได้
ตารางที่ 3 เปรียบเทียบลักษณะของเนื้องอกธรรมดา และเนื้องอกมะเร็ง
1. ถ้าหากเป็นเนื้องอกธรรมดา หรือไม่ร้ายแรง จะต่อท้ายด้วย oma ของชื่อเซลล์ชนิดนั้น ๆ หรือเนื้อเยื่อที่เกิดเนื้องอกขึ้น เช่น เซลล์ไขมัน (fat cell) เรียกว่า lipoma เซลล์ไฟบริน ( fibrocyte) เรียกว่า fibroma เป็นต้น ซึ่งนิยมใช้เรียกชื่อของเซลล์ ที่มีต้นกำเนิดมาจากเซลล์มีเซนไคมอล (mesenchymal tissue) เช่น เซลล์กล้ามเนื้อ (muscle) เซลล์กระดูก ( bone) เซลล์ไขมัน (fat cell) เซลล์ไฟบริน ( fibrocyte) หรือ เซลล์หลอดเลือด (blood vessel) เพราะเวลาเกิดเป็นเนื้องอกมีจำนวนเซลล์ของเนื้อเยื่อเพิ่มขึ้น แต่ยังคงมีลักษณะคล้ายคลึงกับเนื้อเยื่อปกติ ส่วนกลุ่มเซลล์ที่มีต้นกำเนิดจากเซลล์บุผิว (epithelial) การเรียกชื่อจะขึ้นอยู่กับลักษณะทางกายวิภาค (gross lesion) และจุลภาค (histopathology) ของเนื้อเนื้อที่เกิดขึ้น เช่น Adenoma จะหมายถึง เนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์บุผิว (epithelium) ที่มีการเรียงตัวลักษณะเป็น ต่อม (gland) รวมถึงกลุ่มที่มีต้นกำเนิดมาจากต่อม (gland) แม้จะตรวจไม่พบลักษณะเป็นต่อม (gland) หลังเกิดการเจริญเติบโตก็ได้ Papilloma หรือ polyps จะหมายถึงกลุ่มเซลล์บุผิวที่มีการเจริญคล้ายรูปนิ้วมือ (finger like หรือ wary projection) Cystoma หรือ cystadenoma จะหมายถึงกลุ่มเซลล์บุผิวที่ประกอบด้วยถุงน้ำ (cyst) แต่ถ้าหากพบว่ามี papillary pattern ยื่นเข้าไปในถุงน้ำ ก็จะเรียกว่า papillary cystadenoma
2. ถ้าหากเป็นเนื้องอกร้ายแรง หรือมะเร็ง จะเรียกตามชนิดของเนื้อเยื่อต้นกำเนิด คือ 2.1 เซลล์กลุ่ม mesenchymal tissue จะเรียกว่า sarcoma ต่อท้ายชื่อเซลล์นั้น ๆ เช่น เซลล์ไขมัน(fat cell) เรียกว่า liposarcoma หรือเซลล์ไฟบริน( fibrocyte) เรียกว่า fibrosarcoma เป็นต้น 2.2 ส่วนกลุ่มเซลล์ที่มีต้นกำเนิดจากเซลล์บุผิว (epithelial) จะเรียกว่า carcinoma ต่อท้ายชื่อเซลล์นั้น ๆ เช่น เนื้องอก หรือมะเร็งของเซลล์บุผิวชนิดที่เจริญเป็นรูปต่อม (gland) เรียกว่า adenocarcinoma หรือมะเร็งของเซลล์บุผิวชนิด squamous เรียกว่า squamous cell carcinoma เป็นต้นนอกจากนี้ยังอาจพบเนื้องอกประเภทอื่น ๆ นอกเหนือจากทั้งสองกรณี ที่กล่าวถึง อาจจะเรียกชื่อได้ เช่นเนื้องอกที่เกิดจากเนื้อเยื่อมากกว่าหนึ่งชนิดในก้อนเดียวกัน แต่เชื้อว่ามีต้นกำเนิดมาจาก germ cell เดียวกัน สามารถเรียกว่า mixed tumors เช่น mixed mammary gland tumors เป็นต้น โดยมักจะพบในลักษณะ benign glandular tumor ที่มีรูปร่างหลาย ๆ แบบร่วม ซึ่งบางส่วนเห็นเป็นต่อม (gland) ซึ่งเกิดจากเซลล์เยื่อบุ บางส่วนเป็น myxoid stroma และบางส่วนคล้ายเป็น pseudocartilace อยู่ร่วมกัน สำหรับเนื้องอกที่ประกอบด้วย germ cell หลายชนิดรวมกัน เรียกว่า teratoma ซึ่งเนื้อเยื่อหลายชนิด ที่พบอาจจะเป็นเซลล์บุผิว ขน ผม ฟันไขมัน ภายในเนื้องอกก้อนเดียวกัน ทั้งเนื้องอกแบบ mixed หรือ teratoma ก็สามารถบ่งบอกระดับความรุนแรงได้ โดยการเติม benign หรือ malignant นำหน้าชื่อเนื้องอกนั้น เช่น benign mixed mammary gland tumors หรือ malignant mixed mammary gland tumors เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการเรียกชื่อเนื้องอกที่นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ที่กล่าวไว้ แต่มีการใช้มาใน อดีต แล้วยังเป็นที่นิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน เช่น Hepatoma หมายถึง malignant tumor ของเซลล์ตับ แทนที่จะเรียกว่า Liver cell carcinoma Melanoma หมายถึง malignant tumor ของเซลล์ melanocyte แทนที่จะเรียกว่า melanocarcinoma Lymphoma หมายถึง malignant tumor ของต่อมน้ำเหลือง แทนที่จะเรียกว่า lymphosarcoma ตารางที่ 4 การเรียกชื่อเนื้องอก
ลักษณะที่แตกต่างระหว่างเนื้องอกธรรมดา และมะเร็ง ในการตรวจวินิจฉัย เราต้องสามารถแยกใช้ลักษณะของเนื้องอกทั้งชนิดเนื้องอกแบบธรรมดา ออกจากเนื้องอกชนิดร้ายแรง หรือมะเร้งให้ได้ เพื่อการรักษา และทำนายโรค (prognosis) ซึ่งมีหลักใหญ่ ๆ อยู่ดังนี้ 1. ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่ และการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเนื้อเยื่อ (Differentiation and anaplasia) 2. อัตราเร็วของการเจริญเติบโต (Rate of growth) 3. การเจริญอยู่เฉพาะที่และการบุกรุกไปสู่ที่อื่น ๆ (Local growth and invasion) 4. การกระจายไปอวัยวะ หรือเนื้อเยื่อบริเวณอื่น (Metastasis) 1. ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่ และการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเนื้อเยื่อ (Differentiation and anaplasia) เนื้องอก โดยทั่ว ๆ ไป ประกอบด้วย 2 ส่วนเหมือนกับเนื้อเยื่อปกติ คือ ส่วน parenchymal cell และส่วน stroma การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ส่วน parenchymal cell ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปร่าง และการทำหน้าที่ โดย parenchymal cell คือ เซลล์ที่แบ่งตัว และกลายเป็นเนื้องอก ทำให้เกิดเป็นก้อนขึ้น เซลล์เหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเซลล์ต้นกำเนิด (differentiation) ไม่เหมือนกัน ถ้าเซลล์ของเนื้องอกมีลักษณะคล้ายเซลล์ต้นกำเนิด เรียกว่า well differentiation ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้องอกแบบธรรมดา (benign tumor) แต่ถ้าเซลล์ของเนื้องอกเปลี่ยนไปไม่เหมือนเซลล์ต้นกำเนิด เรียกว่า poorly differentiation หรือ undiffentiated tumor มักเป็นเนื้องอกแบบร้ายแรง หรือมะเร็ง (malignant tumor) สำหรับคำว่า Anaplastic tumor จะหมายถึง malignant tumor ที่ประกอบด้วย undiffentiated cell ซึ่งมีลักษณะไม่เหมือนเซลล์ต้นกำเนิด อาจพบมี giant cells ซึ่งมีขนาดของเซลล์ใหญ่กว่าปกติ หรือพบ small cells ซึ่งเล็กกว่าปกติ นอกจากนี้นิวเคลียสจะมีการสร้าง DNA มากขึ้น ทำให้ติดสีเข้ม และมีขนาดใหญ่ใหญ่เมื่อเทียบเซลล์ปกติ ส่วนของ stroma คือส่วนของ connective tissue รวมถึงหลอดเลือดที่มาหล่อเลี้ยง เลือดมาเลี้ยง จำนวนของหลอดเลือด และ connective tissue จะมีการเปลี่ยนแปลงได้ หลายแบบแล้วแต่ชนิดของเนื้องอก เนื้องอกที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเนื้องอกพวก sarcoma จะมี ีหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยงมาก และมี connective tissue น้อย ส่วนพวกเนื้องอกที่โตช้า จะมีหลอดเลือด มาหล่อเลี้ยงน้อยกว่า และมักจะมี connective tissue จำนวนมาก จึงทำให้เนื้อส่วน stroma จะมีมาก และแข็งแรงมาก เรียกว่า scirrhous carcinoma2. อัตราเร็วของการเจริญเติบโต (rate of growth) โดยทั่วไปเนื้องอกธรรมดา จะโตได้ช้า และเนื้องอกมะเร็งจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนมากเนื้องอกมะเร็ง จะเพิ่มขนาดจนเห็นได้ภายในเวลาเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ขณะที่เนื้องอกธรรมดาต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ จึงจะมี ีขนาดใหญ่อัตราการเจริญเติบโตของเนื้องอกนอกจากจะขึ้นอยู่กับชนิดของเนื้องอก ยังขึ้นอยู่กับอิทธิพลของ host ด้วย เช่น ฮอร์โมน ปริมาณเลือดที่มาเลือด หรือภูมิคุ้มกันของ host ว่ามีมากหรือน้อย การเจริญเติบโตของเนื้องอกขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น 1.หลอดเลือดที่มาเลี้ยง ถ้าหากมีเพียงพอ เนื้องอกก็จะโตขึ้น เรื่อย ๆ แต่ถ้าหากขาดเลือดไปเลี้ยงเนื้องอก จะตายเป็นบางส่วน 2.ขึ้นอยู่กับชนิดของปัจจัยของ Host factor เช่นภูมิต้านทานเมื้องอกของร่างกาย 3.นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ เช่น ฮอร์โมน หรือชนิด differentiation ของเนื้องอกที่เป็นแบบ well differentiation ที่โตช้า เมื่อเทียบกับ undiffentiated tumor หรือ poorly differentiation จะโตเร็วกว่า 3. การเจริญอยู่เฉพาะที่และบุกรุกไปที่อื่นๆ (Local growth and invasion) โดยปกติเนื้องอกธรรมดาส่วนใหญ่จะโตขึ้นเป็นก้อน
อยู่ในขอบเขตจำกัด
ถูกล้อมรอบด้วยไฟบริน (fibrous
capsule)
ซึ่งเรียกว่าเปลือกหุ้ม
(encapsulation)
แต่ก็มีเนื้องอกแบบธรรมดาบางชนิดก็เป็นแบบไม่มีเปลือกหุ้ม
(encapsulation) ก็ได้
และจะพบว่าเนื้องอกนี้จะไปกดเนื้อเยื่อปกติที่รอบ
ๆ ให้แบนลง (atrophy)
จึงทำให้มองเห็นก้อนเนื้องอกมีขอบเขตชัดเจน
ดังนั้นเวลาการผ่าตัดก้อนเนื้องอกแบบธรรมดาจึงสามารถลอดออกได้ง่าย
ส่วนเนื้องอกแบบมะเร็ง
ส่วนมากมักจะไม่มีไฟบริน
หุ้ม หรือเปลือกหุ้ม (encapsulation)
การเจริญเติบโตไม่มีขอบเขตทิศทางที่แน่นอน
และมีการแทรกบุกรุกเข้าไปในเนื้อเยื่อปกต
ิ(infiltration
invasion) คล้ายนิ้วมือ (finger like หรือ
wary projection)
จึงทำให้เวลาผ่าตัดเลาะก้อนเนื้องอกนี้ออกได้ลำบาก
4. การกระจายไปอวัยวะ
หรือเนื้อเยื่อบริเวณอื่น
(Metastasis) การแพร่กระจายไปยังอวัยวะบริเวณอื่น หมายถึง การฝังตัวของเซลล์มะเร็งในอวัยวะอื่น ที่ห่างออกไปจากอวัยวะเดิม โดยทั่วไปเนื้องอกมะเร็งเป็นพวกที่สามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นได้โดยสามารถแพร่กระจายไปตามหลอดเลือด หรือท่อน้ำเหลือง ซึ่งพบว่า ปอดและตับ เป็นอวัยวะที่พบว่ามีการแพร่กระจายของมะเร็งจากที่อื่นมาบ่อย ๆ การกระจายของเซลล์มะเร็ง เป็นไปได้หลายวิธี ดังนี้ 4.1 Seeding Of Body cavities คือ การกระจายไปตามช่อง หรือโพรงในร่างกาย เช่น ช่องท้อง ช่องอก ถุงหุ้มหัวใจ หรือข้อต่าง ๆ โดยมีก้อนเนื้อมักจะเริ่มผนังด้านใน (mucosa) นอกจากนี้แล้ว การกระจายจากอวัยวะที่สูงไปสู่ที่ต่ำอาจเกิดขึ้นได้ เช่น เนื้องอกที่ไต ไปที่กระเพาะปัสสาวะ
4.2 Transplantation
คือ การกระจายของเซลล์มะเร็ง
โดยการใช้เครื่องมือนำไปอีกที่หนึ่ง
เช่น
ใช้เข็มดูดเนื้องอกเวลาดึงเข็มออก
เซลล์ของเนื้องอกจะเจริญเติบโตตามรอยเข็มที่ดึงออกมาได้
วิธีนี้พบค่อนข้างจะน้อย
เพราะร่างกายมีภูมิต้านทานต่อเนื้องอกที่หลุดไป
4.3 Lymphatic spread 4.4 Blood Vessel Membolization
1. Decreased cohesivenness
เนื่องจาก
เซลล์มะเร็งไม่มี normal intercellura
junction
ทำให้เซลล์หลุดออกจากกันได้ง่าย
เซลล์มะเร็งมีจำนวนของ
sialomocopeptidn ที่ผิดปกติ ทำให้มี
negative charge มากขึ้น
ผลักดันให้เซลล์แยกออกจากกัน
และยังพบว่าเซลล์เนื้องอก
จะมีแคลเซียมน้อยกว่าเนื้อเยื่อปกติ
จึงทำให้ประจุบวกที่จะไปจับประจุลบมีน้อย
ดังนั้นประจุลบรอบ ๆ
เซลล์จะมีมาก
ผลักดันให้เซลล์ออกห่างจากกัน
2. Loss of contact inhibition 3. Increased motility เซลล์มะเร็งสามารถเคลื่อนไหว ได้เร็วกว่าปกติ ทำให้เซลล์มะเร็งลุกลามได้เร็ว
4. Contact guidance
เซลล์มะเร็งจะเจริญเติบโตระหว่างเซลล์
หรือ fascial planesได้เร็ว
5. Elaborration of enzymes or other products 6. Transplantability เซลล์มะเร็งเมื่อถูก Transplant ไปยังตำแหน่งอื่น จะงอกได้ดีกว่า เซลล์ปกติ ซึ่งบางทีไม่สามารถงอกได้ ปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถแพร่กระจายไปของมะเร็ง (Factors in metastasis) ปัจจัยการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง1. หนทางที่จะแพร่กระจายไปจากแหล่งที่เกิดตอนแรก เป็นที่รู้ชัดแล้วว่า ก้อนมะเร็งที่เกิดในบริเวณที่มาท่อน้ำเหลือง และหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยงจำนวนมาก มีโอกาสจะแพร่กระจายไปที่อื่น ๆ ได้มากกว่าบริเวณอื่น 2. ก้อนมะเร็งนั้นมีขนาด ความรวดเร็วในการเจริญเติบโต ก้อนมะเร็งที่มีขนาดใหญ่ และโตเร็ว มักจะมีการแพร่ กระจายไปได้เร็ว 3.จำนวนของเนื้องอก 4.จำนวนเลือดที่มาเลี้ยงเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ในแต่ละส่วนของร่างกายมีจำนวนมากน้อยแตกต่าง กัน โดยอวัยวะที่มีเลือดมาเลี้ยงจำนวนมาก โอกาสจะถูกแพร่กระจายได้มากกว่าอวัยวะอื่น ๆ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับ ม้าม ที่จะไม่ค่อยพบการแพร่กระจาย 5.การชักนำของฮอร์โมนต่าง ๆ 6.ภูมิต้านทานต่อก้อนมะเร็ง สาเหตุของการเกิดมะเร็ง สาเหตุการเกิดมะเร็ง ที่แท้จริงยังไม่มีการทราบ แน่ชัด แต่พบว่ามีปัจจัยทั้งภายนอกและภายในของร่างกาย สามารถก่อให้เกิดมะเร็งได้ ปัจจัยภายใน เช่น กรรมพันธุ์ พันธุ์ อายุ เพศ ฮอร์โมน และสภาวะภูมิคุ้มกัน ส่วนสาเหตุจากปัจจัยภายนอก อย่างเช่น เชื้อจุลินทรีย์ สารเคมี จะเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้เช่นกัน ในที่นี้จะขอกล่าวถึงปัจจัยภายนอกที่มีผล 1. เชื้อจุลินทรีย์ พบว่ามีน้อยมากที่เชื้อจุลินทรีย์ อย่างเช่นแบคทีเรีย หรือโปรโตซัว จะก่อให้เกิดมะเร็ง แต่ในส่วนของไวรัส พบมีไวรัสเกือบ 150 ชนิดที่พบว่าสามารถทำให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ และเชื้อราบางชนิด โดยเฉพาะเชื้อราที่สร้างสาร aflatoxins 2. สารเคมี พบว่ามีสารต่าง ๆ มากมายที่สามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ เช่น สารพวก hydrocarbones aromatic amines nitrosamines หรือพวก phenols เป็นต้น 3. กัมมันตรังสี เป็นตัวที่ทำให้เกิดมะเร็งได้แน่นอน โดยสารกัมมันตรังสีสามารถให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ DNA ก็ก่อให้เกิดมะเร็งได้เช่นกัน 1. ขนาดที่ขยายใหญ่ของเนื้องอก จะไปกดทับอวัยวะข้างเคียง ถ้าหากเป็นอวัยวะ ที่สำคัญ ๆ เช่น สมอง หรือหัวใจ หรือ ปอด หรือระบบประสาท สามารถทำให้สัตว์ตายได้ แต่ถ้าหากเป็นอวัยวะที่สำคัญลดน้อยลง ก็จะไปมีผล ต่อการทำงานของอวัยวะ นั้นให้ผิดปกติไป 2.การทำหน้าที่เพิ่มขึ้น เช่นการสร้าง หรือหลั่งสาร หรือฮอร์โมน ที่เซลล์ หรือเนื้อเยื่อนั้น ๆ สร้างให้มีจำนวนมากเกินความต้องการ 3.ก่อให้เกิดอาการอื่น ๆ แทรกซ้อน เช่น ภาวะเลือดออกผิดปกติ หรือเกิดการแพร่กระจาย ไปอุดตันอวัยวะ หรือตามที่ต่าง ๆ ดังนั้นความรุนแรงของเนื้องอกที่มีผลกระทบ ต่อร่างกายจะรุนแรงขึ้นอยู่กับชนิด และตำแหน่งของเนื้องอกที่เกิดขึ้น ลักษณะผิดปกติที่สำคัญของเนื้องอก 1. ลักษณะผิดปกติของนิวเคลียส ส่วนโคมาติน จะจับก้อนแน่นย้อมสีติดเข้ม ผนังหุ้มอาจมีความหนาบางไม่เท่ากันและเห็นขอบเขตเด่นชัด ส่วนนิวคลีโอลัส มีรูปร่างขนาดจำนวนแตกต่างกันโดยจะเห็นลักษณะเด่นชัดมากขึ้น โดยทั่วไป ลักษณะการที่พบเซลล์มีจำนวนนิวเคลียสมากกว่าปกติไม่ใช่เป็นข้อบ่งชี้ถึงความรุนแรงของเนื้องอก ลักษณะการแบ่งเซลล์ที่ผิดปกติ เป็นข้อบ่งชี้ถึงความรุนแรงของเนื้องอกมากว่า ความผิดปกติของนิวเคลียสในเซลล์เนื้องอกจะปรากฎให้ตรวจพบได้ แต่โดยทั่วไปก็ไม่สม่ำเสมอ ในก้อนเนื้องอกทุกชนิด 2. ลักษณะความปกติของไซโตพลาสซึม จะมีน้อยลง เนื่องจาก สัดส่วนของนิวเคลียสจะมีมากขึ้นกว่าทำให้เห็นลักษณะ ที่ตรวจด้วยกล้องจุลทรรศ์ เป็นรูปร่าง ต่าง ๆ ของนิวเคลียส เซลล์เนื้องอกกระจายเด่นชัดมากกว่าเห็นขอบเขตของเซลล์ไซโตพลาสม การวินิจฉัย และพยากรณ์โรคเนื้องอก การวินิจฉัยเนื้องอกว่าเป็นชนิดใด มีความจำเป็นต่อการพยากรณ์โรค และการให้การรักษา ว่าจะกำหนดวิธีการรักษาอย่างไร การวินิจฉัยสามารถปฏิบัติได้หลายวิธีเช่น การดูจากลักษณะภายนอก หรือกายวิภาค โดยการดูด้วยตาเปล่า การคลำ ก็สามารถปฏิบัติได้ แต่วิธีที่แน่นอน และน่าเชื้อถือที่มีการปฏิบัติอยู่อย่างเช่น 1. การตรวจชิ้นเนื้อ เป็นการตรวจลักษณะชั้นเนื้อทางจุลพยาธิวิทยา (histopathology) ซึ่งเป็นวิธีที่มีความถูกต้อง และน่าเชื่อถือถึง 80-90 เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นวิธีต้องอุปกรณ์เครื่องมือยุงยาก และราคาแพง รวมทั้งต้องใช้ผู้ตรวจที่มีประการณ์จึงจะดำเนินการได้ดี 2. การตรวจเซลล์ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก โดยการใช้เข็มเจาะดูดเซลล์จากก้อนเนื้อ มาตรวจทางเซลล์วินิจฉัย มักใช้กับเนื้องอกที่มีลักษณะเป็นของเหลว ความถูกต้องแม่นยำ ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอย่างอื่น ๆ เช่นขั้นตอนการเก็บตัวอย่างส่งตรวจ ผู้ตรวจ เป็นต้น 3. วิธีอื่น ๆ อาจจะใช้การตรวจโดยวิธีอื่นมาช่วย หริสนับสนุนการเกิด เช่น การตรวจฮอร์โมน หรือสารที่เนื้อเยื่อ นั้น ๆ สร้างขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการตรวจทางอ้อม ส่วนการรักษาที่นิยมมีอยู่หลายอย่างเช่นการผ่าตัด การใช้รังสี หรือการใช้ยาสารเคมี หรือการใช้วิทยาการภูมิคุ้มกันรักษา ซึ่งการเลือกวิธีการรักษา ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง หรือเนื้องอกที่พบ ถ้าหากเป็นมะเร็งที่สามารถแพร่กระจายได้มักจะหลีกเลี่ยงวิธีการผ่าตัด
|