โรคที่ต้องรักษาเอาเอง

เมื่อเราเจ็บไข้ได้ป่วยทางกาย เราคิดถึงหมอ และไปให้หมอรักษา แต่เรามิได้มีเพียงกาย เรามีจิตใจอีกด้วย
ใครไม่มีจิตไม่มีวิญญานก็คือทรากศพที่ไม่ต่างอะไรกันกับท่อนไม้นั่นเอง

เมื่อเราเจ็บใจ แค้นใจ เสียใจ น้อยเนื้อต่ำใจ กลุ้มใจ เศร้าใจ หนักใจ คับข้องใจ คับแค้นใจ ทุกข์ใจ ฯลฯ เราจะทำอย่างไรดี?
เราจะคิดถึงใคร? เราจะไปไหนดี?

จะดื่มสุรา เสพเฮโรอีน กินยากล่อมประสาท ยานอนหลับ ให้มันลืมโรคทุกข์ทางใจนั่นเสียดีไหม? ไม่ดีแน่
เพราะเมื่อสร่างเมา สร่างฤทธิ์ยา โรคทุกข์ใจต่างๆ เหล่านั้นก็จะมาทำพิษเอาอีก
การกระทำดังกล่าวเป็นการดับทุกข์ที่ปลายเหตุ ไม่ใช่วิธีของสัตบุรุษหรือบัณฑิตซึ่งเป็นผู้รู้เหตุ รู้ผล

ถ้าอย่างนั้นจะคิดถึงเทวดา จะคิดถึงพระรึ เทวดาหรือพระจะช่วยอะไรเราได้ หากเราเพียงกราบๆไหว้ๆ
อ้อนวอนขอให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ แถมอุตริติดสินบนท่านอีกด้วย
หรืออย่างดีก็ศึกษาธรรมะ(ปริยัติธรรม)ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้วอย่างลวกๆ อย่างขอไปที
อย่างไม่เห็นความสำคัญในสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตมนุษย์ ผลก็คือไม่สามารถนำธรรมะนั้นไปปฏิบัติ(ปฏิบัติธรรม)ได้
เมื่อไม่ปฏิบัติธรรม ไม่มีธรรมะอยู่กับชีวิตจิตใจเสียแล้ว ธรรมะที่ไหนเล่าจะคอยคุ้มครองรักษาให้พ้นจากโรคทุกข์ทางใจได้

มนุษย์จะเป็นสัตว์ที่มีจิตใจสูงตามความหมายของคำว่า มนุษย์ ได้จริงนั้น
จะต้องเฉลียวด้วยว่ายังมีเรื่องทางจิตใจทางนามธรรมอีกฝ่ายหนึ่งที่จะต้องศึกษาจนเข้าใจกระจ่างแจ้ง
รู้เท่าทันปัจจัยแห่งการเกิดขึ้นของความทุกข์ทางใจปฏิจจสมุปบาท)
แล้วพยายามดำเนินจิตใจให้อยู่ในลู่ทางอันถูกต้องที่สามารถนำเข้าสู่ความดับทุกข์ทางใจได้ ซึ่งก็คือ อริยมรรค มีองค์ 8
ประการที่ย่อลงแล้วมี ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง

มนุษย์จึงจำเป็นต้องทั้งฉลาดและเฉลียวในการปฏิบัติต่อร่างกายและจิตใจให้พ้นทุกข์ไปพร้อมกับ ความทุกข์ใจ
ต้องบำเรอจิตใจด้วยสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็น ธรรมะโอสถ ที่ทุกคนจะต้องมีไว้ บำบัดโรคทุกข์ทางใจของตนด้วยตนเอง
ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ดังนี้ " ตนนี้แล เป็นที่พึ่งแห่งตน "

เมื่อเกิดมาเป็นคนทั้งที ควรพัฒนาจิตใจให้สูงเหนืออำนาจกิเลสตัณหาทั้งปวง
แม้ไม้ได้โดยสิ้นเชิงเพียงเริ่มมีชัยบ้างในบางครั้งบางคราว ก็ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นมากมาย จนสามารถเรียกตนเองว่า
"มนุษย์" ได้อย่างเต็มภาคภูมิ มน แปลว่าใจ อุษย์ แปลว่าสูง มนุษย์ จึงแปลว่า ผู้มีจิตใจสูง จนกิเลสท่วมไม่ถึง